วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สกุลเงินบาท ไทย

เงินบาท (ตัวละติน: Baht ; สัญลักษณ์: ฿ ; รหัสสากลตาม ISO 4217: THB) เป็นสกุลเงินตราประจำชาติของประเทศไทย เดิมคำว่า "บาท" เป็นหนึ่งในคำใช้เรียกหน่วยการชั่งน้ำหนักของไทย ปัจจุบันยังมีใช้ในความหมายเดิมอยู่บ้าง โดยเฉพาะในการซื้อขายทองคำ เช่น "ทองคำวันนี้ราคาขายบาทละ 8,400 บาท" หมายถึงทองคำหนักหนึ่งบาทสามารถขายได้ 8,400 บาท ในสมัยที่เริ่มใช้เหรียญครั้งแรก เงินเหรียญหนึ่งบาทนั้นเป็นเงินที่มีน้ำหนักหนึ่งบาทจริง ๆ ไม่ได้ทำด้วยทองแดงนิกเกิลเช่นในปัจจุบัน
เหรียญไทยนั้นผลิตออกมาโดยสำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง โดยสามารถผลิตออกใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนโดยไม่ต้องมีสิ่งใดมาค้ำประกัน เพราะโลหะที่ใช้ผลิตเหรียญกปาษณ์นั้นมีค่าในตัวเองอยู่แล้ว ส่วนธนบัตรนั้นผลิตและควบคุมการหมุนเวียนโดยธนาคารแห่งประเทศไทย การผลิตธนบัตรนำออกใช้จะมีหลักเกณฑ์วิธีที่เหมาะสมเพื่อให้เศรษฐกิจของชาติมีเสถียรภาพ


ระบบสกุลเงินไทยในปัจจุบัน ซึ่งเงิน หนึ่งบาท มีค่าเท่ากับ 100 สตางค์ เริ่มใช้ปี พ.ศ. 2440 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนหน้านั้นเงินตราไทยใช้ระบบดังนี้
หน่วยเงินมูลค่า
หาบ80 ชั่ง หรือ 6,400 บาท
ชั่ง20 ตำลึง หรือ 80 บาท
ตำลึง4 บาท
บาท1 บาท
มายน หรือ มะยง\tfrac{ 1 } { 2 } บาท
สลึง\tfrac{ 1 } { 4 } บาท
เฟื้อง\tfrac{ 1 } { 8 } บาท
ซีก หรือ สิ้ก\tfrac{ 1 } { 16 } บาท
เสี้ยว เซี่ยว หรือ ไพ\tfrac{ 1 } { 32 } บาท
อัฐ\tfrac{ 1 } { 64 } บาท
โสฬส หรือ โสฬศ\tfrac{ 1 } { 128 } บาท
เบี้ย\tfrac{ 1 } { 6400 } บาท



ในปัจจุบัน มีการผลิตเหรียญกษาปณ์อยู่ทั้งหมด 9 ชนิดคือ เหรียญ 1, 5, 10, 25 และ 50 สตางค์, 1, 2, 5 และ 10 บาท โดยเหรียญ 25 และ 50 สตางค์, 1, 2, 5 และ 10 บาท เป็นเหรียญที่ออกใช้หมุนเวียนทั่วไป ส่วนเหรียญ 1, 5 และ 10 สตางค์ ไม่ได้ออกใช้หมุนเวียนทั่วไป แต่ใช้ภายในธนาคารเท่านั้น
แต่ในปัจจุบัน ได้เกิดปัญหาราคาวัตถุดิบในการผลิตเหรียญสูงกว่าราคาเหรียญ ทำให้เกิดการลักลอบหลอมเหรียญไปขาย หรือบางครั้งก็เกิดปัญหาการใช้เหรียญผิด เพราะรูปร่างและสีของเหรียญบางชนิดนั้นคล้ายกัน (เช่น เหรียญ 1 บาท กับ เหรียญ 2 บาท แบบเก่า) ดังนั้น ใน พ.ศ. 2552 กระทรวงการคลัง ได้เปลี่ยนแปลงวัตถุดิบในการผลิตเหรียญบางชนิด เพื่อป้องกันการหลอมเหรียญและสร้างความแตกต่างของเหรียญ ลดความยุ่งยากในการใช้เหรียญ เป็นดังนี้
เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน (พ.ศ. 2552) [1]
ภาพมูลค่าข้อมูลภาพปีที่ประกาศใช้
ด้านหน้าด้านหลังเส้นผ่านศูนย์กลาง  น้ำหนัก  ส่วนประกอบด้านหน้าด้านหลัง
1 satang observe.png1 satang reverse.png1 สตางค์15 มม.0.5 กรัมอะลูมิเนียม ร้อยละ 99พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระเจดีย์วัดพระธาตุหริภุญชัยพ.ศ. 2530
5 satang obverse.png5 satang reverse.png5 สตางค์16.5 มม.0.6 กรัมพระปฐมเจดีย์พ.ศ. 2530
10 satang obverse.png10 satang reverse.png10 สตางค์17.5 มม.0.8 กรัมพระเจดีย์วัดพระธาตุเชิงชุมพ.ศ. 2530
25 satang obverse.png25 satang reverse.png25 สตางค์16 มม.1.9 กรัมเหล็กกล้าชุบทองแดงพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารพ.ศ. 2530
50 satang obverse.png50 satang reverse.png50 สตางค์18 มม.2.4 กรัมพระเจดีย์วัดพระธาตุดอยสุเทพพ.ศ. 2530
1 baht obverse & reverse.jpg1 บาท20 มม.3 กรัมเหล็กกล้าชุบนิเกิลพระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดารามพ.ศ. 2529
2 baht Obverse (2009).png2 baht Reverse 2009.png2 บาท21.75 มม.4 กรัมอะลูมิเนียมบรอนซ์พระบรมบรรพต วัดสระเกศพ.ศ. 2548
5 baht Obverse & Reverse.jpg5 บาท24 มม.6 กรัมคิวโปรนิกเกิลสอดไส้ทองแดงพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรพ.ศ. 2531
10 baht Obverse & Reverse.jpg10 บาท26 มม.8.5 กรัมวงแหวน: คิวโปรนิกเกิล
ตรงกลาง: อะลูมิเนียมบรอนซ์
พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามพ.ศ. 2531




ธนบัตรที่ใช้ในประเทศไทยในปัจจุบันมีหลายชนิด แต่หลายชนิดเป็นธนบัตรที่ระลึกที่มีจำนวนจำกัด และไม่ถูกใช้ในการหมุนเวียนทั่วไป เช่น ธนบัตรที่ระลึกมูลค่า 60 บาท เป็นต้น ส่วนธนบัตรที่ถูกใช้หมุนเวียนทั่วไป และยังมีการผลิตอยู่อย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน มี 5 ชนิด ได้แก่ ธนบัตร 20, 50, 100, 500 และ 1000 บาท
ธนบัตรที่หมุนเวียนใช้ในระบบเศรษฐกิจ [2]
ภาพมูลค่าขนาดสีด้านหน้าด้านหลังวันที่ออกใช้
20 บาท20 บาท20 บาท138 × 72 มม.เขียวพระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร3 มีนาคม 2546
50 บาท50 บาท50 บาท144 × 72 มม.น้ำเงินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว1 ตุลาคม 2547
100 บาท100 บาท100 บาท150 × 72 มม.แดงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว21 ตุลาคม 2548
500 บาท500 บาท500 บาท156 × 72 มม.ม่วงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว1 สิงหาคม 2544
1000 บาท1000 บาท1000 บาท162 × 72 มม.เทาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช25 พฤศจิกายน 2548

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น